03.ความเป็นมา-หญ้าแฝกดอยตุง

สารบัญ

ความเป็นมาของการปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่โรงการฯ

ในเดือนมกราคม พ.ศ.2535 ในช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาเฝ้าฯ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ วังสระปทุม โดยสม่ำเสมอนั้น ได้ทรงทราบปัญหาการพังทลายของดินบริเวณที่มีการตัดถนนสายใหม่จากบ้านสันกองขึ้นไปยังพระธาตุดอยตุง วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงนำแผ่นพับเกี่ยวกับเรื่องหญ้าแฝกมาถวาย สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทอดพระเนตร และทรงมีพระราชดำรัสถึงคุณสมบัติพิเศษของหญ้าแฝกในการป้องกันการชะล้างพังทลายตลอดจนการเสื่อมสลายของผิวดิน อันเนื่องมาจากฝนตกชะล้าง และจากสาเหตุอื่นๆ

ค่ำวันต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาเฝ้าฯ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ได้ทรงน้ำหนังสือเกี่ยวกับเรื่องหญ้าแฝกมาถวายเพิ่มเติม เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทอดพระเนตรหนังสือต่างๆ เหล่านั้น ประกอบพระบรมราชาธิบายแล้วจึงทรงมีพระราชดำริ ที่จะนำหญ้าแฝกมาทดลองแก้ไขปัญหาการชะล้างพังทลายของดินในโครงการพัฒนาดอยตุง

การที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงมีพระราชดำริให้ทดลองปลูกหญ้าแฝก ทั้งนี้เพราะหญ้าแฝกมีรากที่แข็งแรงยาวและหยั่งลึก แผ่นกระจายเป็นลักษณะตาข่ายลงในพื้นดิน สามารถยึดเกาะดินไม่ให้เลื่อนไหล นอกจากนี้เมื่อน้ำไหลผ่านจากที่สูงลงต่ำ โดยไม่จำกัดความลาดเทของพื้นดิน ลำต้นหรือกอของหญ้าแฝกจะกรองตะกอนดินที่น้ำกัดเซาะพามา และลดอัตราเร็วของการไหล ทำให้น้ำซึมลงสู่พื้นดินได้ดีขึ้น และยังแก้ปัญหาการสูญเสียหน้าดินเนื่องจากการกัดเซาะของน้ำด้วย

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้มีพระราชกระแสรับสั่งกับหม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล ราชเลขานุการในพระองค์ฯ ให้พิจารณาดำเนินการปลูกหญ้าแฝกตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแนวทางดำเนินการ คือ พิจารณาลักษณะแตกต่างกันของพันธุ์หญ้าแฝก ลักษณะภูมิประเทศที่จะปลูก พร้อมทั้งศึกษาทดลองและจัดเก็บข้อมูลให้ทราบถึงการเจริญเติบโตของหญ้าแฝกแต่ละพันธุ์ ตลอดไปถึงการศึกษาความสามารถ ในการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน การรักษาความชุ่มชื้นในดิน ซึ่งหากดำเนินการได้ผลดี จะเป็นแหล่งที่ให้ความรู้ให้การศึกษากับโครงการพัฒนาอื่นๆ และนานาประเทศได้

ราชเลขานุการในพระองค์ฯ ได้นำพระราชดำริ มาจัดตั้งเป็นโครงการศึกษาพัฒนาหญ้าแฝกในโครงการพัฒนาดอยตุงทันที มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมทางหลวง กรมวิชาการเกษตร กรมป่าไม้ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดินและประชาชนในพื้นที่ได้ร่วมกันดำเนินการสนองพระราชดำริในการแก้ปัญหาเรื่องดินพังทลาย โดยมีแผนงานในขั้นต้นดังนี้

  1. ปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการเลื่อนไหลและพังทลายของดิน และกรองตะกอนดินที่ไหลมากับน้ำในบริเวณที่มีปัญหา เช่น บริเวณการสร้างทาง ทั้งด้านดินตัดและดินถม และบริเวณรอบอ่างกักเก็บน้ำที่มีทั้งการตัดและถมดิน เพื่อกันตะกอนดินไหลลงอ่าง
  2. ปลูกหญ้าแฝกกำกับพื้นที่เพาะปลูกพืชบนที่ลาดชัน เพื่อป้องกันการเลื่อนไหลสูญเสียของดินผิวหน้า และเพื่อให้ดินดูดซับน้ำได้ดีขึ้น อันเป็นผลดีต่อพืชที่ปลูก
  3. ปลูกหญ้าแฝกบริเวณริมรางและท่อระบายน้ำ เพื่อกันการพังทลายและกันดินไหลลงในรางและท่อระบายน้ำ
  4. ปลูกหญ้าแฝกล้อมรอบพืชยืนต้นอายุยืน เพื่อรักษาน้ำและสารอาหารไว้สำหรับพืชนั้นๆ โดยเฉพาะเมื่อปลูกอยู่ในพื้นที่ที่มีความลาดชันมาก
โครงการพัฒนาดอยตุงระยะที่ 1 (พ.ศ.2531-2535) เน้นหนักในโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นสาธารณูปโภคที่สำคัญได้แก่ การสร้างทาง การจัดหาน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และการเดินสายไฟให้ทั่งถึงทุกกลุ่มบ้าน พร้อมไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ได้แก่ การศึกษา การสุขอนามัย และการเรียนรู้ภาษาไทยเป็นต้น การสร้างทางเป็นงานเร่งด่วนที่สุดเพื่อเปิดทางให้กับงานพัฒนาอื่นๆ ของโครงการฯ

การก่อสร้างทางในระยะนั้นเป็นงานดินตัดทั้งหมด โดยตัดไหล่เขาให้ส่วนที่เป็นถนนอยู่บนดินเดิมทั้งหมด แล้วดันดินส่วนที่ตัดออกทิ้งลงข้างทางโดยไม่ให้อัดดินไหล่ทาง ทำให้ไหล่ทางเป็นดินหลวมง่ายต่อการกัดเซาะของน้ำ เมื่อฝนตกดินจึงพังทลายลงสู่พื้นที่ตอนล่าง ไหล่ทางด้านดินตัด (Back slope) เองก็ถูกน้ำกัดเซาะพังทลายลงทับถนน และไหลข้ามตกลงมาทางด้านดินถม (Side slope)

กรมทางหลวงได้ดำเนินการแก้ไขโดยใช้ลวดตาข่ายดาดพร้อมกับทำท่อระบายน้ำบริเวณด้านดินตัดที่เกิดปัญหา แล้วฉีดพ่นซีเมนต์ลงบนตาข่าย สามารถหยุดยั้งการพังทลายของดินได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ทำให้ทิวทัศน์บริเวณนั้นขาดความสวยงามตามธรรมชาติ แม้จะได้ปลูกพืชคลุมเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ ก็ยังไม่สามารถบังกำแพงดินได้ทั้งหมด และวิธีนี้มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ต่อมาได้มีการทดลองใช้วิธีฉีดเมล็ดพืชผสมกับปุ๋ยเยื่อกระดาษ และกาวธรรมชาติบนผิวดินและดินถม (Hydroseeding) เพื่อให้มีพืชชนิดต่างๆ เจริญปกคลุมทำให้บริเวณนั้นดูเป็นธรรมชาติมากกว่าและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวคงแก้ปัญหาได้บางส่วนเท่านั้น นอกจากนั้นกรมทางหลวงได้ทดลองใช้ถุงทรายทำเป็นกำแพงดินขอบถนนด้านดินถม พร้อมกับปลูกพืชคลุมบริเวณด้านนอกถุงทราย เพื่อให้มีใบพืชที่เขียวปกคลุมซ่อนถุงทรายอยู่ด้านใน การสร้างกำแพงกันดินด้วยวิธีนี้ได้ผลดีแต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก สูงกว่าการใช้ซีเมนต์ฉีดพ่นหลายเท่าตัวยังไม่เหมาะที่จะนำมาใช้