ทศวรรษที่2

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:39, 7 พฤศจิกายน 2561 โดย Haiiwiki (คุย | มีส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)
ตราสัญลักษณ์80ปี.jpg


ทศวรรษที่๑
(พ.ศ.๒๔๗๐ - ๒๔๗๙)

ทศวรรษที่ ๒
(พ.ศ.๒๔๘๐ - ๒๔๘๙)

ทศวรรษที่ ๓
(พ.ศ.๒๔๙๐ - ๒๔๙๙)

ทศวรรษที่ ๔
(พ.ศ.๒๕๐๐ - ๒๕๐๙)

ทศวรรษที่ ๕
(พ.ศ.๒๕๑๐ - ๒๕๑๙)

ทศวรรษที่ ๖
(พ.ศ.๒๕๒๐ - ๒๕๒๙)

ทศวรรษที่ ๗
(พ.ศ.๒๕๓๐ - ๒๕๓๙)

ทศวรรษที่ ๘
(พ.ศ.๒๕๔๐ - ๒๕๕๐)

ทศวรรษที่ ๒ นพมหาจักรี ทรงพระปรีชาชาญพูนเพิ่ม (พ.ศ. ๒๔๘๐ - ๒๔๘๙)


...ประเทศชาติของเราจะเจริญหรือเสื่อมลงนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชนแต่ละคนเป็นสำคัญ...

ผลการศึกษาอบรมในวันนี้จะเป็นเครื่องกำหนดอนาคตของชาติในวันข้างหน้า...

พระราชดำรัส วันที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๘

พุทธศักราช ๒๔๘๙ ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เพื่อเสด็จฯ กลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงศึกษาต่อ
แต่เนื่องจากยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงต้องเสด็จพระราชดำเนินกลับไปยัง
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อในเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๙ ในครั้งนี้
ทรงเปลี่ยนแปลงแขนงวิชาที่กำลังทรงศึกษาเพื่อให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์
แก่การปกครองประเทศในอนาคต
"...วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๙ วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว ตามถนนผู้คน
ช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลางราษฎรเข้ามาใกล้ชิดรถที่เรานั่ง กลัว
เหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเขาบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงชนไปได้
อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตรรถแล่นได้เร็วขึ้นบ้าง ตามทางที่ผ่านมาได้ยินเสียงใคร
คนหนึ่งร้องขึ้นมาดัง ๆ ว่า '...อย่าละทิ้งประชาชน...' อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า
...ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งอย่างไรได้..."

จากพระราชดำรัสดังกล่าวเป็นดั่งคำสัญญาที่จะเสด็จฯ กลับมา สะท้อนให้เห็นถึง
ความผูกพันที่ทรงมีต่ออาณาประชาราษฎร์ต่อเนื่องมาตั้งแต่แรกเริ่มรัชกาล ซึ่ง
อธิบายได้จากพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงพระสหายเก่า
หลังครองสิริราชสมบัติแล้ว ความว่า

"...ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะรักประชาชนของข้าพเจ้า เมื่อได้ติดต่อกับเขาเหล่านั้น
ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสำนึกในความรักอันมีค่ายิ่ง แต่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้โดยการ
ทำงานที่นี่ว่า ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้คือ การได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า
นั่นคือคนไทยทั้งปวง..."



ข้อมูลจาก หนังสือ ประมวลภาพการทรงงาน "๘๐ พรรษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์"

จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ