ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทรงพระผนวช"

แถว 1: แถว 1:
 
<div id="bg_g5">
 
<div id="bg_g5">
 
<center><h3>ทรงพระผนวช</h3></center>
 
<center><h3>ทรงพระผนวช</h3></center>
<div class="kindent">พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์นับแต่อดีตกาลล้วนแต่ทรงพระผนวชในพระบวรพุทธศาสนาทุกพระองค์ ส่วนใหญ่จะทรงพระผนวชก่อนเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ยกเว้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระผนวชภายหลัง เนื่องจากเสด็จขึ้นครองราชย์ขณะพระชนมพรรษายังน้อย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็เช่นเดียวกัน เพื่อสืบทอดโบราณราชประเพณีเจริญรอยตามสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชและด้วยพระราชศรัทธาส่วนพระองค์ต่อพระบวรพุทธศาสนา จึงเสด็จออกทรงพระผนวชเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๙ ประกอบพระราชพิธี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์(๑) เป็นพระอุปัชฌาจารย์ แล้วเสด็จไปประทับเพื่อปฏิบัติสมณวัตร ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร จนถึงวันที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๙ จึงทรงลาพระผนวช รวมเวลาในสมณเพศ ๑๕ วัน เสด็จพระราชดำเนินกลับไปประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต
+
<div class="kindent">พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์นับแต่อดีตกาลล้วนแต่ทรงพระผนวชในพระบวรพุทธศาสนาทุกพระองค์ ส่วนใหญ่จะทรงพระผนวชก่อนเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ยกเว้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระผนวชภายหลัง เนื่องจากเสด็จขึ้นครองราชย์ขณะพระชนมพรรษายังน้อย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็เช่นเดียวกัน เพื่อสืบทอดโบราณราชประเพณีเจริญรอยตามสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชและด้วยพระราชศรัทธาส่วนพระองค์ต่อพระบวรพุทธศาสนา จึงเสด็จออกทรงพระผนวชเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๙ ประกอบพระราชพิธี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์<sup>(๑)</sup> เป็นพระอุปัชฌาจารย์ แล้วเสด็จไปประทับเพื่อปฏิบัติสมณวัตร ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร จนถึงวันที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๙ จึงทรงลาพระผนวช รวมเวลาในสมณเพศ ๑๕ วัน เสด็จพระราชดำเนินกลับไปประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต
  
 
ในการทรงพระผนวชดังกล่าวนั้น ได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจในช่วงเวลา ๑๕ วันที่ยังดำรงสมณเพศอยู่และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์เป็นที่พอพระราชหฤทัย ดังนั้นเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ” นับเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
 
ในการทรงพระผนวชดังกล่าวนั้น ได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจในช่วงเวลา ๑๕ วันที่ยังดำรงสมณเพศอยู่และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์เป็นที่พอพระราชหฤทัย ดังนั้นเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ” นับเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:57, 2 ตุลาคม 2552

ทรงพระผนวช

พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์นับแต่อดีตกาลล้วนแต่ทรงพระผนวชในพระบวรพุทธศาสนาทุกพระองค์ ส่วนใหญ่จะทรงพระผนวชก่อนเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ยกเว้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระผนวชภายหลัง เนื่องจากเสด็จขึ้นครองราชย์ขณะพระชนมพรรษายังน้อย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็เช่นเดียวกัน เพื่อสืบทอดโบราณราชประเพณีเจริญรอยตามสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชและด้วยพระราชศรัทธาส่วนพระองค์ต่อพระบวรพุทธศาสนา จึงเสด็จออกทรงพระผนวชเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๙ ประกอบพระราชพิธี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์(๑) เป็นพระอุปัชฌาจารย์ แล้วเสด็จไปประทับเพื่อปฏิบัติสมณวัตร ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร จนถึงวันที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๙ จึงทรงลาพระผนวช รวมเวลาในสมณเพศ ๑๕ วัน เสด็จพระราชดำเนินกลับไปประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต

ในการทรงพระผนวชดังกล่าวนั้น ได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจในช่วงเวลา ๑๕ วันที่ยังดำรงสมณเพศอยู่และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์เป็นที่พอพระราชหฤทัย ดังนั้นเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ” นับเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๐ หลังจากทรงประกอบพิธีเฉลิมพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ซึ่งปรับปรุงแล้วเสร็จ ทรงย้ายที่ประทับจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตไปประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานเป็นที่ประทับถาวร


๑พระนามเดิม ม.ร.ว. ชื่น นพวงศ์ ณ กรุงเทพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประกาศเฉลิมพระนามสมเด็จพระสังฆราชเจ้าให้เต็มพระเกียรติยศตามราชประเพณี เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประกาศสถาปนาพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์” เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙