ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การแพทย์"

แถว 1: แถว 1:
<div style="color:red">'''พุทธศักราช ๒๔๙๖ : หน่วยแพทย์เคลื่อนที่หน่วยแรก'''</div>
+
<div style="text-indent: 30px; padding-top:30px; float:left">โครงการพระราชดำริด้านการแพทย์และสาธารณสุข มีจุดเริ่มต้นมาจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแก่ กองวิทยาศาสตร์สภากาชาดไทย สำหรับนำไปสร้างตึกมหิดลวงศานุสรณ์ ในบริเวณสถานเสาวภา เพื่อใช้ในกิจการทางด้านวิทยาศาสตร์ และในการผลิตวัคซีน บี.ซี.จี. ป้องกันวัณโรค ดังที่ได้มีพระราชปรารภ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๖ กับหลวงพยุงเวชศาสตร์ ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสาธารณสุข ความตอนหนึ่งว่า</div>
 +
 
 +
<div style="color:green">"คุณหลวง วัณโรคสมัยนี้มียารักษากันได้เด็ดขาดหรือยัง ยาอะไรขาด ถ้าต้องการฉันจะหาให้อีก ฉันอยากเห็นกิจการแพทย์ของเมืองไทยเจริญมากๆ..."</div>
 +
 
 +
<div style="text-indent: 30px; padding-top:30px; float:left">ต่อมาได้พระราชทานความช่วยเหลือโดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไปจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจ หรือ "ปอดเหล็ก" จากต่างประเทศ จำนวน ๓ เครื่อง ให้กับผู้ป่วยโปลิโอ (โรคไขสันหลังอักเสบ) เพื่อช่วยเหลือคนไข้ที่มีอาการกล้ามเนื้อในการหายใจเป็นอัมพาต อีกทั้งได้พระราชทานเงินจัดตั้ง "ทุนโปลิโอสงเคราะห์" สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ในการรักษาโรคพระราชทานไปยังโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล ตลอดจนทรงให้การสนับสนุนในการค้นคว้าทางวิชาการและให้ก่อสร้างตึก "วชิราลงกรณธาราบำบัด" ไว้เป็นสถานที่รักษาด้วยวิธีทางกายภาพบำบัด โดยใช้น้ำช่วยพยุงร่างกายระหว่างการบริหารและฟื้นฟูกล้ามเนื้อ</div>
 +
 
 +
<div style="text-indent: 30px; padding-top:30px; float:left">ผลจากการพัฒนาตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่องพบว่า ในปัจจุบันไม่มีรายงานการติดเชื้อด้วยโรคโปลิโอ ส่วนวัณโรคนั้นอาจจะยังมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้อยู่บ้าง แต่สามารถควบคุมการระบาดของโรคไว้ได้ จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขในช่วงเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ มีผู้ป่วยวัณโรคจำนวน ๓,๐๘๑ คน คิดเป็นผู้ป่วย ๔.๙ คนต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน วัณโรคจึงมิใช่เป็นโรคที่มีการแพร่ระบาดอย่างน่าวิตกเช่นครั้งในอดีตอีกต่อไป</div>
 +
 
 +
 
 +
 
 +
 
 +
=== <div style="color:red">'''พุทธศักราช ๒๔๙๖ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่หน่วยแรก'''</div>===
  
  
 
<div style="width:100%; display:table">
 
<div style="width:100%; display:table">
 
<div style="float:left">[[ภาพ:หน่วยแพทย์เคลื่อนที่.jpg|150px]]<br /><br />[[ภาพ:หน่วยแพทย์เคลื่อนที่2.jpg|150px]]<br /><br /><br /><br />[[ภาพ:หน่วยแพทย์เคลื่อนที่3.jpg|150px]]</div>
 
<div style="float:left">[[ภาพ:หน่วยแพทย์เคลื่อนที่.jpg|150px]]<br /><br />[[ภาพ:หน่วยแพทย์เคลื่อนที่2.jpg|150px]]<br /><br /><br /><br />[[ภาพ:หน่วยแพทย์เคลื่อนที่3.jpg|150px]]</div>
<div style="float:left; padding-left:10px">เมื่อปี ๒๔๙๖ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรที่บ้านปากทวาร ตำบลหินเหล็กไฟ<br /> อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรงพบว่าราษฎรที่มาเข้าเฝ้าฯ เป็นไข้จับสั่นและโรคอื่นๆ เป็นจำนวนมาก จึงมี<br />พระราชปรารภว่าในท้องที่ห่างไกลที่แพทย์และพยาบาลเข้าไปไม่ถึงนั้น ราษฎรต้องถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ทั้งๆ ที่โรค<br />ที่เป็นสามารถรักษาให้หายได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์รวมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยานพาหนะ<br />และเวชภัณฑ์ ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อจัดตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปรักษาประชาชนในท้องถิ่นธุรกันดาร เริ่มจาก<br />จังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เรียกชื่อว่า '''"หน่วยแพทย์เคลื่อนที่พระราชทาน"''' ต่อมาเมื่อปี ๒๔๙๙ <br />ให้จัดตั้งขึ้นอีก ๒ แห่ง คือ ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยในพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ <br />และพื้นที่จังหวัดยะลาเพื่อดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยในพื้นที่ทางภาคใต้
+
<div style="float:left; padding-left:10px; text-indent: 30px;">เมื่อปี ๒๔๙๖ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรที่บ้านปากทวาร ตำบลหินเหล็กไฟ<br /> อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรงพบว่าราษฎรที่มาเข้าเฝ้าฯ เป็นไข้จับสั่นและโรคอื่นๆ เป็นจำนวนมาก จึงมี<br />พระราชปรารภว่าในท้องที่ห่างไกลที่แพทย์และพยาบาลเข้าไปไม่ถึงนั้น ราษฎรต้องถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ทั้งๆ ที่โรค<br />ที่เป็นสามารถรักษาให้หายได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์รวมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยานพาหนะ<br />และเวชภัณฑ์ ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อจัดตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปรักษาประชาชนในท้องถิ่นธุรกันดาร เริ่มจาก<br />จังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เรียกชื่อว่า '''"หน่วยแพทย์เคลื่อนที่พระราชทาน"''' ต่อมาเมื่อปี ๒๔๙๙ <br />ให้จัดตั้งขึ้นอีก ๒ แห่ง คือ ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยในพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ <br />และพื้นที่จังหวัดยะลาเพื่อดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยในพื้นที่ทางภาคใต้
  
 
<br /> '''"เรือเวชพาหน์" หน่วยแพท์ทางน้ำ'''<br />เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้ต่อเรือขึ้นลำหนึ่งทำด้วยไม้สัก<br />สองชั้น ภายในลำเรือแบ่งพื้นที่เป็นห้องตรวจรักษาโรคต่างๆ พร้อมอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ เครื่องมือทันตกรรม <br />และเวชภัณฑ์ครบครัน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโครงการแพทย์หลวงพระราชทาน "เรือเวชพาหน์" <br />ขึ้น เพื่อออกให้บริการแก่ประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ ซึ่งการเดินทางโดยรถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้  
 
<br /> '''"เรือเวชพาหน์" หน่วยแพท์ทางน้ำ'''<br />เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้ต่อเรือขึ้นลำหนึ่งทำด้วยไม้สัก<br />สองชั้น ภายในลำเรือแบ่งพื้นที่เป็นห้องตรวจรักษาโรคต่างๆ พร้อมอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ เครื่องมือทันตกรรม <br />และเวชภัณฑ์ครบครัน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโครงการแพทย์หลวงพระราชทาน "เรือเวชพาหน์" <br />ขึ้น เพื่อออกให้บริการแก่ประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ ซึ่งการเดินทางโดยรถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้  
แถว 12: แถว 23:
  
  
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงให้ความสำคัญกับการสาธารณสุขในระยะยาวด้วย โดยทรงสนับสนุนด้านการศึกษาค้นคว้า<br />และการวิจัย ทั้งทรงให้ความสำคัญกับบุคลากรด้านสาธารณสุข และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง "ทุนอานันทมหิดล" <br />ขึ้นเมื่อปี ๒๔๙๘
+
<div style="text-indent: 30px; padding-top:30px; float:left">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงให้ความสำคัญกับการสาธารณสุขในระยะยาวด้วย โดยทรงสนับสนุนด้านการศึกษาค้นคว้า<br />และการวิจัย ทั้งทรงให้ความสำคัญกับบุคลากรด้านสาธารณสุข และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง "ทุนอานันทมหิดล" <br />ขึ้นเมื่อปี ๒๔๙๘</div>
  
ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนเป็นมูลนิธิอานันทมหิดล เพื่อการพิจารณาคัดเลือกบัณฑิตแพทย์ที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมและมีคุณธรรม<br />ไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกในต่างประเทศ ปัจจุบันมูลนิธิอานันทมหิดลได้ขยายการให้การสนับสนุนการศึกษาในระดับสูง<br />ครอบคลุม ๘ สาขาวิชา ในจำนวนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการสาธารณสุข ๒ สาขา คือ แผนกแพทยศาสตร์ และแผนกทันตแพทยศาสตร์
+
<div style="text-indent: 30px; padding-top:30px; float:left">ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนเป็นมูลนิธิอานันทมหิดล เพื่อการพิจารณาคัดเลือกบัณฑิตแพทย์ที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมและมีคุณธรรม<br />ไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกในต่างประเทศ ปัจจุบันมูลนิธิอานันทมหิดลได้ขยายการให้การสนับสนุนการศึกษาในระดับสูง<br />ครอบคลุม ๘ สาขาวิชา ในจำนวนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการสาธารณสุข ๒ สาขา คือ แผนกแพทยศาสตร์ และแผนกทันตแพทยศาสตร์</div>
  
  

รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:11, 20 กุมภาพันธ์ 2551

โครงการพระราชดำริด้านการแพทย์และสาธารณสุข มีจุดเริ่มต้นมาจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแก่ กองวิทยาศาสตร์สภากาชาดไทย สำหรับนำไปสร้างตึกมหิดลวงศานุสรณ์ ในบริเวณสถานเสาวภา เพื่อใช้ในกิจการทางด้านวิทยาศาสตร์ และในการผลิตวัคซีน บี.ซี.จี. ป้องกันวัณโรค ดังที่ได้มีพระราชปรารภ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๖ กับหลวงพยุงเวชศาสตร์ ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสาธารณสุข ความตอนหนึ่งว่า
"คุณหลวง วัณโรคสมัยนี้มียารักษากันได้เด็ดขาดหรือยัง ยาอะไรขาด ถ้าต้องการฉันจะหาให้อีก ฉันอยากเห็นกิจการแพทย์ของเมืองไทยเจริญมากๆ..."
ต่อมาได้พระราชทานความช่วยเหลือโดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไปจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจ หรือ "ปอดเหล็ก" จากต่างประเทศ จำนวน ๓ เครื่อง ให้กับผู้ป่วยโปลิโอ (โรคไขสันหลังอักเสบ) เพื่อช่วยเหลือคนไข้ที่มีอาการกล้ามเนื้อในการหายใจเป็นอัมพาต อีกทั้งได้พระราชทานเงินจัดตั้ง "ทุนโปลิโอสงเคราะห์" สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ในการรักษาโรคพระราชทานไปยังโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล ตลอดจนทรงให้การสนับสนุนในการค้นคว้าทางวิชาการและให้ก่อสร้างตึก "วชิราลงกรณธาราบำบัด" ไว้เป็นสถานที่รักษาด้วยวิธีทางกายภาพบำบัด โดยใช้น้ำช่วยพยุงร่างกายระหว่างการบริหารและฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
ผลจากการพัฒนาตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่องพบว่า ในปัจจุบันไม่มีรายงานการติดเชื้อด้วยโรคโปลิโอ ส่วนวัณโรคนั้นอาจจะยังมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้อยู่บ้าง แต่สามารถควบคุมการระบาดของโรคไว้ได้ จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขในช่วงเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ มีผู้ป่วยวัณโรคจำนวน ๓,๐๘๑ คน คิดเป็นผู้ป่วย ๔.๙ คนต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน วัณโรคจึงมิใช่เป็นโรคที่มีการแพร่ระบาดอย่างน่าวิตกเช่นครั้งในอดีตอีกต่อไป



พุทธศักราช ๒๔๙๖ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่หน่วยแรก

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่.jpg

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่2.jpg



หน่วยแพทย์เคลื่อนที่3.jpg
เมื่อปี ๒๔๙๖ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรที่บ้านปากทวาร ตำบลหินเหล็กไฟ
อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรงพบว่าราษฎรที่มาเข้าเฝ้าฯ เป็นไข้จับสั่นและโรคอื่นๆ เป็นจำนวนมาก จึงมี
พระราชปรารภว่าในท้องที่ห่างไกลที่แพทย์และพยาบาลเข้าไปไม่ถึงนั้น ราษฎรต้องถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ทั้งๆ ที่โรค
ที่เป็นสามารถรักษาให้หายได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์รวมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยานพาหนะ
และเวชภัณฑ์ ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อจัดตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปรักษาประชาชนในท้องถิ่นธุรกันดาร เริ่มจาก
จังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เรียกชื่อว่า "หน่วยแพทย์เคลื่อนที่พระราชทาน" ต่อมาเมื่อปี ๒๔๙๙
ให้จัดตั้งขึ้นอีก ๒ แห่ง คือ ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยในพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และพื้นที่จังหวัดยะลาเพื่อดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยในพื้นที่ทางภาคใต้


"เรือเวชพาหน์" หน่วยแพท์ทางน้ำ
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้ต่อเรือขึ้นลำหนึ่งทำด้วยไม้สัก
สองชั้น ภายในลำเรือแบ่งพื้นที่เป็นห้องตรวจรักษาโรคต่างๆ พร้อมอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ เครื่องมือทันตกรรม
และเวชภัณฑ์ครบครัน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโครงการแพทย์หลวงพระราชทาน "เรือเวชพาหน์"
ขึ้น เพื่อออกให้บริการแก่ประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ ซึ่งการเดินทางโดยรถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้

นับเป็นเรือบรรเทาทุกข์และรักษาพยาบาลทางน้ำลำแรกและลำเดียวในโลก ที่ยังคงให้บริการประชาชนอยู่จนถึงทุกวันนี้


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงให้ความสำคัญกับการสาธารณสุขในระยะยาวด้วย โดยทรงสนับสนุนด้านการศึกษาค้นคว้า
และการวิจัย ทั้งทรงให้ความสำคัญกับบุคลากรด้านสาธารณสุข และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง "ทุนอานันทมหิดล"
ขึ้นเมื่อปี ๒๔๙๘
ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนเป็นมูลนิธิอานันทมหิดล เพื่อการพิจารณาคัดเลือกบัณฑิตแพทย์ที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมและมีคุณธรรม
ไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกในต่างประเทศ ปัจจุบันมูลนิธิอานันทมหิดลได้ขยายการให้การสนับสนุนการศึกษาในระดับสูง
ครอบคลุม ๘ สาขาวิชา ในจำนวนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการสาธารณสุข ๒ สาขา คือ แผนกแพทยศาสตร์ และแผนกทันตแพทยศาสตร์


ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคสมทบทุนโดยเสด็จพระราชกุศลได้เป็นรายบุคคลหรือเป็นคณะ

โดยเสด็จพระราชกุศล สมทบทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ได้ที่สำนักงานพระคลังข้างที่ ในพระบรมมหาราชวัง

โทรศัพท์ 222-0859, 224-3288 โทรสาร 226-2909, 224-9858

รายละเอียดเกี่ยวกับการพระราชทานทุน และการดำเนินงานของมูลนิธิฯ สอบถามได้ที่

สำนักงานประสานงานของมูลนิธิอานันทมหิดล ตั้งอยู่ที่ สำนักงานเลขาธิการองคมนตรี ศาลาลูกขุนใน พระบรมมหาราชวัง

โทรศัพท์ 623-5833-4 โทรสาร 623-5835


มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล - http://www.princemahidolaward.org/about.th.php




**ข้อมูลจาก หนังสือ ๘๐ พรรษา ปวงประชาสุขศานต์ จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ