
ปี 2566 : โครงการการบูรณาการเครือข่ายหน่วยงานการปฏิบัติและแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในฐานะผู้กระทำผิดและผู้เสียหายด้วยความเสมอภาค
27/02/2025
โครงการการบูรณาการเครือข่ายหน่วยงานการปฏิบัติและแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในฐานะผู้กระทำผิดและผู้เสียหายด้วยความเสมอภาค เริ่มขึ้นในปี 2563 โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา อัยการผู้เชี่ยวชาญ สํานักงานอัยการภาค 2 รักษาการในตําแหน่งอัยการจังหวัดคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดระยอง ทรงเป็นที่ปรึกษาคณะทํางาน “โครงการการบรูณาการเครือข่ายหน่วยงานการปฏิบัติและแก้ไขบําบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในฐานะผู้กระทําผิดและผู้เสียหายด้วยความเสมอภาค” และมีผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ดร.รอยล จิตรดอน และ ดร.รอยบุญ รัศมีเทศ ร่วมเป็นที่ปรึกษาคณะทำงานดังกล่าว
โครงการการบูรณาการเครือข่ายหน่วยงานการปฏิบัติและแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชน ฯ ดำเนินงานภายใต้แนวคิดเพื่อส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนและในศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง ให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ โดยไม่หวนกลับไปในเส้นทางที่ผิด รวมทั้งได้รับการศึกษาต่อในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา และได้รับโอกาสในการประกอบอาชีพ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีพร้อมเป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไปในอนาคต

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ หรือ สสน. ได้สนับสนุนการให้องค์ความรู้ด้านการพัฒนา ดิน น้ำ และการเกษตร รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในพื้นที่ต้นแบบความสำเร็จด้านการบริหารจัดการน้ำผ่านการดำเนินงานของพิพิธภัณฑ์จัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริที่เยาวชนจะได้เรียนรู้ศาสตร์ของพระราชา เสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ เรียนรู้ตัวอย่างความสำเร็จของชุมชนในการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้จนเกิดเป็นความมั่นคงทรัพยากร สังคม และเศรษฐกิจชุมชน รวมไปถึงการดำรงชีวิต การวางแผนชีวิต เยาวชนได้เรียนรู้ทักษะด้านอาชีพตามความถนัดและความสนใจ
โครงการนี้เริ่มต้นที่จังหวัดระยองเป็นที่แรก โดยร่วมมือกับ สถานพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดระยอง และศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง ที่ได้ส่งเสริม 3 รากฐานทักษะแห่งชีวิต ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำ การเกษตรกรรม และการส่งเสริมอาชีพ ซึ่ง สสน. ได้เข้าไปให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำ รวมทั้งเทคโนโลยีที่ใช้เพื่อการบริหารจัดการน้ำแก่เยาวชน และได้นำเยาวชนเยี่ยมชมการดำเนินงานของ สสน. รวมทั้งเยี่ยมชมการดำเนินงานพิพิธภัณฑ์จัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ ซึ่งเป็นตัวอย่างความสำเร็จด้านการบริหารจัดการน้ำ เช่น พิพิธภัณฑ์จัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ ชุมชนบ้านเปร็ดใน จังหวัดตราด พิพิธภัณฑ์จัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริชุมชนตำบลดงขี้เหล็ก จังหวัดปราจีนบุรี เป็นต้น
นอกจากนี้ เยาวชนยังได้นำองค์ความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในสถานพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดระยอง และศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง และได้นำเสนอโครงการด้านการบริหารจัดการน้ำจนได้ร่วมเป็นเครือข่าย “พี่นำน้องรักษ์น้ำ” ของมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ อีกด้วย

นอกจากนี้ สสน. ยังร่วมกับ สถาบันนิติวัชร์ ขยายผลการดำเนินงานโครงการ จากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (เขต 1) จังหวัดระยอง ไปยังศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (เขต 2) จังหวัดราชบุรี และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (เขต 5) จังหวัดอุบลราชธานี เยาวชนได้เรียนรู้การบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมคิดและลงมือทำ ผ่านการเขียนโครงการ การประยุกต์ใช้พลังงานทดแทน โครงสร้างทางชลศาสตร์ “ฝายชะลอน้ำ” และระบบกระจายน้ำในแปลงเกษตร ทั้งนี้ เยาวชนสามารถสรุปและนำเสนอแนวคิดที่จะนำไปปรับใช้ในพื้นที่ตนเอง พร้อมนำเสนอแผนการดำเนินงานและลงมือทำจนเกิดผลสำเร็จ

ตลอดการดำเนินงานที่ผ่านมา สสน. ได้ประสานความร่วมมือในการดำเนินงานร่วมกับจิตอาสาจากหน่วยทหารและราชการต่างๆ และจิตอาสาภาคเอกชน อาทิ สำนักงานอัยการจังหวัดระยอง ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดระยอง ทหารจากกองพลนาวิกโยธิน ค่ายมหาสุรสิงหนาท กองทัพเรือ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และชุมชนตัวอย่างความสำเร็จด้านการบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น
โครงการการบูรณาการเครือข่ายหน่วยงานการปฏิบัติและแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชน ฯ นี้ สำเร็จได้จากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของทุกฝ่ายที่ต่างมีจุดหมายเดียวกันคือส่งเสริม พัฒนา ต่อยอดให้เยาวชนผู้ที่เคยกระทำความผิดกฎหมายสามารถคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กลับตัวกลับใจห่างไกลเส้นทางกระทำผิดซ้ำ กลับเข้ามาอยู่ในครอบครัว สังคม สถานศึกษา และประกอบอาชีพตามที่ตั้งใจ ใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายและเติบโตเป็นกำลังสำคัญของชาติได้อย่างมั่นคงต่อไป
